สัปดาห์นี้สถานการณ์สงคราม ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงระหว่างรัสเซีย และยูเครนนั้นยังคงไม่มีที่ท่าว่าจะลดลง แม้หลายประเทศในฝั่งประชาธิปไตยจะออกมาทำการคว่ำบาตรทางการเงินกับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบขึ้นเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะในแง่เศรษฐกิจ การเงิน และการเมืองโลก อาทิเช่น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น จนส่งผลให้ต้นทุน และราคาสินค้าแพงขึ้นอย่างมหาศาล
แน่นอนว่าการคว่ำบาตรที่เกิดขึ้น ไม่ได้เพียงแต่การใช้มาตรการทางการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการคว่ำบาตรผ่านสินทรัพย์ที่มีความเป็น Decentralized บนระบบ Blockchain อย่าง Cryptocurrency อีกด้วย
โดยหนึ่งในผู้นำร่องการคว่ำบาตรผ่าน Blockchain นั้น คงหนีไม่พ้นหัวหอกแห่งประชาธิปไตยอย่างสหรัฐฯ ที่ได้ทำการจัดซื้อเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์การทำธุรกรรมผ่าน Blockchain เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงมาตรการการคว่ำบาตรที่เกิดขึ้น
จนทำให้ในปัจจุบันมูลค่าการซื้อขาย Stablecoin ยอดนิยมอย่าง USDT ด้วยเงิน RUB ของรัสเซียนั้นลดลงกว่า 86% เหลือเพียงเฉลี่ยวันละ $5 ล้าน หรือประมาณ 165 ล้านบาท
พร้อมกับมูลค่าการซื้อขาย Cryptocurrency โดยรวมผ่าน RUB นั้น ก็ได้ลดต่ำลงกว่า 50% เหลือเพียงวันละ $7.4 ล้าน หรือเกือบ 245 ล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดคุณ Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ได้ออกมาย้ำเตือนถึงภัยคุกคามและการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร ในงาน Bank for International Settlements Innovation Summit ว่า
“Cryptocurrency กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรอย่างแน่นอน และมันยังถือเป็นภัยคุกคามสำคัญอีกด้วย เพราะมันยังถูกใช้ในการทำธุรกรรมที่ต้องสงสัยเป็นจำนวนมาก การดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย และการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมอีกด้วย”
โดยแม้ว่าคำแถลงดังกล่าว จะไม่สอดคล้องกับปริมาณการซื้อขาย Cryptocurrency ผ่านเงิน RUB ที่ลดลงในปัจจุบัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีข้อมูล และการทำธุรกรรมแบบปกปิดอีกมากที่ตรวจสอบได้ยาก ซึ่งทำให้เราต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด”