Information
Cardano เป็นโปรเจคเริ่มขึ้นในปี 2015 ถูกสร้างโดย Charles Hoskinson มีจุดประสงค์ที่จะไว้ใช้สร้างสัญญาอัจฉริยะ ที่แตกต่างออกไปจากเหรียญอื่นๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการออกแบบและยังเน้นในเรื่องของการบูรณาการระบบใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นกับเหรียญสกุลเงินดิจิตอล ระบบของ Cardano เป็นแบบ Open Source ทุกคนสามารถเข้ามาใช้และพัฒนาโปรเจคได้โดยโปรเจคของ Cardano นั้นคิดถึงเรื่องของทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์โดยผนวกเข้ากับระบบเครือข่าย Blockchain ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจคที่น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างมาก
Cardano Blockchain อีกขั้นของ Smart Contract
Cardano เป็นแพลตฟอร์ม Blockchain รุ่นที่ 3 ทางผู้พัฒนาได้ใช้วิศวกรหัวกะทิหลายคนในการคิดค้นและสร้างระบบออกมา โดยเน้นไปที่ความยั่งยืนในอนาคต โดยพื้นหลังนั้นนาย Charles Hoskinson เคยได้เป็นส่วนหนึ่งของนักพัฒนา Ethereum และภายหลังได้ออกมาทำ IOHK (Input Output Hong Kong) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาต่อยอดโปรเจคของ Cardano ที่เรียกได้ว่าเป็นเป็นโปรเจคที่ได้มีการค้นกว้าและวิจัยข้อมูลเป็นจำนวนมาก อ้างอิงจากการให้สัมภาษย์ของนาย Charles Hoskinson ที่นิติยสาร Forbes ว่าในปัจจุบัน Cardano ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลวิจัยไปแล้วกว่า 100 รายการเพียงระยะเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมการพัฒนาต่อยอดของ Blockchain ในอนาคต สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Cardono Reserch ปัจจุบัน Cardano ได้มีการสร้างเหรียญ ADA เพื่อไว้ใช้เพิ่มสภาพคล่องในกับตัวระบบอีกด้วย
ADA เหรียญของระบบ Cardano
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเหรียญ Cardano ถึงชื่อ ADA ต้องบอกก่อนเลยว่ามันถูกตั้งมาจากชื่อนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อว่า Ada Lovelace ที่ยกย่องกันว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลกที่เกิดขึ้นในยุค 50s โดยเขาได้พัฒนา "note G" ซึ่งเป็น Computer Algorithm อันแรกของโลกอีกด้วย
Ada เป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่ให้ผู้ใช้ทุกคนบนโลก สามารถใช้ ada เป็นการแลกเปลี่ยนมูลค่าได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องให้บุคคลที่สามเป็นคนกลางในการแลกเปลี่ยน ทุกธุรกรรมจะได้รับการบันทึกอย่างถาวร ปลอดภัย และโปร่งใสบนบล็อคเชนของ Cardano

Cardano มาแก้ปัญหาของ Ethereum
อย่างที่ทราบกันดีว่าการเกิดขึ้นของ Blockchain ยุคที่ 3 นั้นขึ้นมาเพราะต้องการแก้ปัญหาจาก Ethereum ที่มีจุดบกพร่อง ซึ่งหลักๆแล้ว Cardano ให้ความสำคัญในการพัฒนาอยู่ 3 สิ่งหลัก คือ ความปลอดภัย (Secure), การขยายธุรกรรม (Scalable) และ ความสามารถในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ ( interoperable)
ความปลอดภัยของ Cardano
ทาง Cardano ได้เสริมสร้างความปลอดภัยของระบบโดยการใช้ภาษาอย่าง Haskell ซึ่งปัจจุบันนักพัฒนามองว่าภาษาดังกล่าวนั้นเป็น Purely Functional กล่าวอีกนัยว่าเป็นภาษาที่โปรแกรมเชิงฟังก์ชั่นแบบบริสุทธ์ที่สุดภาษาหนึ่ง ซึ่งทำให้สร้างความโปร่งใสให้กับ Cardano เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่ Haskell ถูกใช้ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรมโดยอ้างอิงจาก สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย ยังได้ให้ข้อมูลไว้ด้วยอีกว่า “ภาษานี้มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงและง่ายต่อการเข้าใจ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างแบบจำลองปัญหาทางคณิตศาสตร์ Haskell เป็นภาษาที่ดีที่สุดที่ใช้จัดการปัญหาและงานวิจัยประเภทต่างๆในด้านทฤษฎีทางภาษาโปรแกรมมิ่งอีกด้วย”

Scalability
อย่างที่ทราบกันดีกว่าการพัฒนาของ Blockchain เจ้าใหญ่ในขณะนี้ต่างมุ่งหวังในเรื่องของการขยายธุรกรรมเป็นอย่างมาก เนื่องการปัจจัยดังกล่าวที่จะทำให้โอนธุรกรรมที่มีจำนวนมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในเรื่องของความเร็วมากขึ้นด้วย ด้วยความโดดเด่นของการพัฒนาเครือข่าย Cardano ที่ผู้พัฒนานั้นได้ใช้เทคโนโลยีแบบ Proof of Stake เป็นของตัวเองที่มีชื่อว่า Ouroboros ซึ่งทำให้ Cardado นั้นสามารถโอนธุรกรรมได้รวดเร็ว ระบบ Ouroboros นั้นถูกพัฒนามาจากนักวิทยาการรหัสลับชั้นนำอย่างศาสตราจารย์ Aggelos Kiayias แห่งมหาลัย University of Edinburgh ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างระบบลงคะแนนเสียงด้วยการเข้ารหัสอีกด้วย (Cryptographic Voting Systems)

นอกจากนี้จุดเด่นที่ Cardano ที่พัฒนาตัวเองเป็น Blockchain 2 Layer ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการโอนถ่ายข้อมูลเหนือกว่าที่อื่น
Double Layered Architecture อีกขั้นของ Blockchain
แก่นหลักที่ Cardano ใช้ในการพัฒนาระบบของพวกเขาเรียกว่า Layered Architecture จะเข้ามาช่วยในการปรับปรุงระบบให้เกิดความเสถียรมากขึ้น layered architecture 2 ชั้น ประกอบด้วย
- Cardano Settlement Layer (CSL) โดยมีหน้าที่หลักคือบันทึกมูลค่าธุรกรรมและยืนยันธุรกรรมระหว่างบัญชี
- Cardano Computation Layer (CCL) โดยมีหน้าที่หลัก คือ บันทึกเหตุผลของการทำธุรกรรมระหว่างบัญชี
โดยทางผู้พัฒนาระบุว่าการนำ Double Layered Architecture จะสามารถเพิ่มความปลอดภายในการทำธุรกรรมที่มากขึ้นอีกด้วย

Interoperability
คุณค่าหลักอีกอย่างหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดประสงค์ที่ผู้พัฒนา Cardano นั้นต้องการที่จะพัฒนานั้น คือ Interoperability โดยผู้พัฒนามุ่งหวังว่าแพลตฟอร์มของ Cardano นั้นจะเป็นศูนย์กลางของ Blockchain Ecosystems ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านข้อมูลจำนวนมากผ่าน Cardano Blockchain ซึ่งจะส่งผลให้ในอนาคตจะสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากขึ้น ทั้งนี้ยังสามารถรองรับเหรียญต่างๆได้จากหลายแหล่งอีกด้วย

นอกจากข้อมูลข้างต้นที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของ Cardano ที่เข้ามาแก้ปัญหา Blockchain รุ่นก่อนๆแล้ว ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกจะเป็นอย่างไรตามไปอ่านกันครับ
ADA พัฒนา Proof of Stake แบบ Ouroboros ของตัวเอง
ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าทาง Cardano ได้มีการพัฒนา Proof of Stake แบบ Ouroboros ซึ่งทำให้
Cardado นั้นสามารถโอนธุรกรรมได้รวดเร็วมากขึ้นซึ่งเดี่ยวพาไปดูข้อมูลแบบเจาะลึกกันว่าทำไมเขาต้องทำ POS เป็นของตัวเองด้วย เห็นอะไรแตกต่างจาก POS แบบก่อน

เกริ่นก่อนว่า POS นั้นถูกพัฒนามาต่อจาก POW (Proof of Work) ซึ่งข้อเสียของ POW นั้นเป็นเรื่องของพลังงานที่ต้องใช้ในการขุดเข้ารหัสเพื่อคอนเฟิร์ม Block แต่ละ Block ของข้อมูลบน Blockchain ซึ่งการทำดังกล่าวเสียพลังงานไฟฟ้าอย่างมาก อ้างอิงจากสำนักข่าวดังอย่าง Reuters ได้มีการระบุว่ารัฐบาลจีนต่างเริ่มทยอยปิดเหมืองหลายๆเหมืองขุด Bitcoin ต่างๆ ในจีนอย่างต่อเนื่องเพราะการกระทำดังกล่าวสงผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก
นักพัฒนาจึงได้มีการเริ่มใช้ระบบ POS เข้ามาเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยระบบ POS นั้นจะให้สิทธิของคนที่ถือเหรียญนั้นๆ เป็นผู้ที่คอนเฟิร์ม Block ในแต่ละ Block บนเครือข่ายโดยจะมี Reward แจกจ่ายตามสัดส่วนของการถือครอง ระบบดังกล่าวจึงเอื้ออำนวยต่อผู้ที่ถือครองเหรียญเยอะๆ ก็จะได้เป็นคนผูกขาดในการดำเนินการต่างๆบนระบบนั้น
การมาของ POS แบบ Ouroboros ที่ Cardano นั้นพัฒนาขึ้นมา นั้นตอบให้เห็นว่าเขายังคงเชื่อมั่นในระบบ POS ที่เป็นการประหยัดหลังงาน และหวังว่าระบบดังกล่าวจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ในอนาคต โดยที่ Cardano นั้นมีการค้นคว้าและพิสูจน์ว่า POS แบบ Ouroboros นั้นมีความปลอดภัยที่เหนือกว่าแบบปกติซึ่งเขาได้ใช้การคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ขั้นสูงในการพัฒนาระบบของ Ouroboros สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Ouroboros: A Provably Secure Proof-of-Stake Blockchain Protocol
ADA สามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยการ Stake
ผู้ที่ถือเหรียญ ADA สามารถนำมันมา Stake ไว้ได้ใน Daedalus หรือ Yoroi wallets ซึ่งวิธีการ Stake นั้นสามารถหาได้ทั่วไปในโลกอินเตอร์เน็ตซึ่งสำหรับคนที่ต้องการถือเหรียญ ADA ในระยะยาวแล้ววิธีนี้นับว่าเป็นอีกวิธีที่สามารถทำให้เหรียญของคุณมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งทั้ง 2 wallet นั้น มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากอยู่ในระบบที่ Decentralize สามารถถอนและฝากเมื่อไหร่ก็ได้และที่สำคัญขั้นตอนในการเปิดกระเป๋าก็ขอแค่มีคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตคุณก็สามารถใช้งานได้แล้ว
Daedalus Wallet
Daedalus Wallet เป็นกระเป๋าที่ทำงานอยู่ผ่าน Web 3.0 Technology ซึ่งถูกออกมาเพื่อให้เก็บ
เหรียญ ADA โดยเฉพาะ ผู้ใช้งานสามารถติดตั้งผ่าน Chrome Browser และสามารถใช้งานได้ทันที ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ daedaluswallet
Yoroi Wallet
Yoroi Wallet เป็นกระเป๋าที่ถูกออกแบบมาใช้งานสำหรับจัดเก็บ ADA โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีข้อแตกต่างกับ Daedalus Wallet ตรงทีมันจะเชื่อมต่อกับ Node ที่ทำงานผ่านระบบของ Emurgo เพียงเท่านั้น ซึ่งทาง Daedalus ไม่ได้มีข้อจำกัดดังกล่าว สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ yoroi-wallet.com
Hard Fork เพื่อพัฒนาระบบ
การ Hard Fork เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการพัฒนาระบบ Blockchain ซึ่งมันเป็นเสมือนการอัพเดทระบบที่แยกออกจาก Blockchain หลักเนื่องจากต้องการพัฒนาในสิ่งใหม่ๆโดยปกติแล้วก่อนทำการ Hard Fork จะมี Vote เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาต่อในอนาคต และ Cardano ก็ได้มีการ Hard Fork ไปแล้วด้วยเช่นกัน
ในครั้งแรก Cardano ได้มีการ Hard Fork จาก Byron ไปสู่ Shelley โดยการอัพเดทดังกล่าวนั้นมุ่งหลักไปเรื่องของการพัฒนา Cardano ไปสู่การใช้งานที่เป็นระบบ Decenterlize มากขึ้น โดยมีการอัพเดทระบบ Stake Pool และการจ่าย Reward อีกด้วย

ซึ่งในการ Hard Fork ของ Cardano นั้นทุกกช่วงจะดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถเชื่อมต่อข้อมูลจาก Block ก่อนหน้าได้อย่างเป็นระบบ ระเบียบซึ่งอธิบายง่ายๆ มันเหมือนรวม Block ทั้ง 2 ช่วงต่อเข้าด้วยกันและในอนาคตทาง Cardano ก็ยังมีแผนในการพัฒนาต่อแบบเดียวกันกับ Block ของ Goguen, Basho และ Voltaire อีกด้วย
Hard Fork ครั้งสำคัญของ Cardano
เหตุการณ์ Hardfork ที่สำคัญซึ่งเปลี่ยน Cardano Blockchain เป็นอย่างมากจากภาพที่มีแต่การค้นคว้าวิจัย กลับเริ่มเข้าใกล้การใช้งานจริงๆ มากขึ้น ซึ่งในช่วงเดือน September 2021 ทาง Cardano ได้มีการ Hard Fork Cardano Alonzo ซึ่งถือว่าเป็นครั้งสำคัญที่ชาว ADA นั้นรอคอย เพราะเป็นการนำเอาสัญญา Smart contract มาปรับใช้บนเครือข่ายหลักของ Cardano เป็นครั้งแรกโดยจะถูกนำไปใช้ทำ decentralized applications (DApps) และทำ decentralized finance (DeFi)

Founders
นาย Charles Hoskinson เป็นผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและเป็นนักคณิตศาสตร์ ซึ่งจบจากมหาวิทยาลัย Metropolitan State University of Denver และ University of Colorado Boulder ซึ่งเรียนศึกษาเกี่ยวกับ ทฤษฎีตัวเลขเชิงวิเคราะห์ (Analytic Number Theory)
Charles Hoskinson เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงคริปโตเคอเรนซี่ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum โดยที่นาย Anthony Di Iorio เป็นคนแนะนำให้เข้ารู้จัก Ethereum ซึ่งต่อมาได้เป็น 1 ใน 5 ผู้ร่วมก่อตั้งแรกของ Ethereum ในเดือน ธันวาคม 2013
ตำแหน่ง และ หน้าที่ของ นาย Charles Hoskinson หลักๆ ก็คือการ ดูแลกฎหมาย (Legal Framework) ขององค์กร และ เป็นคนก่อตั้ง Swiss Foundation

หลังจากที่เขาไปจาก Ethereum เขาได้รับการติดต่อจากอดีตเพื่อนร่วมงาน Ethereum Jeremy Wood ให้ก่อตั้งโครงการใหม่ชื่อ IOHK (Input Output HongKong) ซึ่งเป็น บริษัท ด้านวิศวกรรมและการวิจัยที่สร้าง cryptocurrencies และ blockchains โครงการสำคัญของ IOHK คือ Cardano (แพลตฟอร์ม cryptocurrency)บล็อกเชนสาธารณะและแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะที่โฮสต์สกุลเงินดิจิทัล ADA
การเติบโตของไวโอมิง cryptocurrency อุตสาหกรรมรวมถึง IOHK และ คราเคน (บริษัท )ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเก็งกำไรในประเทศอื่น ๆ ในการพิจารณาอุตสาหกรรมบล็อกเชนเช่นกัน
สถานะปัจจุบัน : หลังจากที่ออกจาก Ethereum ได้ก่อตั้งโครงการใหม่ชื่อ IOHK และต่อมา เกิดเป็น Cardano (แพลตฟอร์ม cryptocurrency)
ช่องทางการติดตาม Twitter, Medium, Linkedin
Roadmap
Roadmap
การพัฒนาของ Cardano นั้นจะถูกแบ่งออกมาเป็น 5 ยุคได้แก่ Byron, Shelley, Goguen, Basho, และ Voltaire ซึ่งในแต่ละยุคนั้นจะถูกพัฒนาทาง Coding ควบคู่ไปกับการวิจัยไปด้วยซึ่งมีจุดเด่นหลักๆ ดังนี้

ยุค Bylon ประกาศ ADA ให้โลกรู้
ยุค Bylon เป็นยุคเริ่มต้นของ Cardano ซึ่งถูกออกแบบมาเป็น Blockchain ยุคที่ 3 โดยทางผู้พัฒนาได้เริ่มต้นพัฒนาขึ้นในช่วง 2017 ซึ่งก่อนหน้านั้น 2 ปีได้เริ่มมีการทำวิจัยมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้พัฒนาออกมาเป็น Coding แบบจริงจังๆ ซึ่งช่วง Bylon นี้เองทำให้เกิดการสร้างเหรียญ ADA ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ติดตามได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนและได้มีการเริ่มทำโครงสร้างอนาคตของ ADA ขึ้นมาโดย Cardano ได้พัฒนา Consensus แบบ POS ของตัวเองขึ้นมา ที่มีชื่อว่า Ouroboros และในยุคนี้เองก็ได้เกิด Wallet ไว้เก็บเหรียญ ADA อย่าง Daedalus wallet ซึ่งถูกพัฒนาโดย IOHK และกระเป๋า Yoroi ซึ่งถูกพัฒนาโดย Emurgo บริษัทในเครือของ IOHK ซึ่งออกแบบมาเพื่อการทำธุรกรรมที่รวดเร็ว ซึ่งถือว่ายุคนี้เกิดการใช้งาน ADA ในการแลกเปลี่ยนขึ้นจริง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ Cardano Byron

ยุค Shelly ยุคแห่ง Decentralization
ยุค Shelly เป็นยุคที่ต่อมาจาก Bylon ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้ Cardano นั้นเติบโตเป็นอย่างมากเพราะมีการพัฒนาเด้านระบบโครงข่ายให้ขยายมากขึ้นและให้มีความ Decentralization มากขึ้น ซึ่งในยุคนี้เองได้มีการเปิดตัว Mainnet โดยเปลี่ยนไปใช้ Shelley ซึ่งออกแบบมาให้ได้ใช้งานที่ราบรื่นกว่ายุคแรก ซึ่งการพัฒนาในช่วงนี้ทำให้เกิดความก้าวหน้าของชุมชนชาว Cardano ที่มาร่วมกันพัฒนามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเพิ่มจำนวนเครือข่ายมากขึ้นอีกด้วยสามารถศึกษาต่อได้ที่ Cardano Shelley

ผลงานเด่นในยุค Shelly
ในช่วงยุค Shelly นั้นเกิดการพัฒนาต่างๆมากมายจะมีการพัฒนาอะไรที่น่าสนใจบ้างไปดูกันครับ
พัฒนา Ouroboros
ในส่วนของการพัฒนา Ouroboros เปรียบเสมือนการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ที่ Staking Token ใน Cardano ซึ่งทางผู้พัฒนาได้เล็งเห็นว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีนั้นก็สูงขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีนั้นปรับเปลี่ยนตลอด และการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ Ouroboros จะทำให้ Cardano นั้นปลอดภัยมากขึ้น
พัฒนาการเป๋า Wallet
ในยุค Shelly ที่เริ่มให้ความสำคัญกับการขยายตัวไปยังผู้ใช้งานที่มากขึ้น และประตูด่านแรกที่ทำให้ผู้ใช้งานได้เข้ามานั้นคือกระเป๋าเงิน ทาง IOHK ซึ่งเป็นหนึ่งใน Partner หลักของ Cardano ได้มีการปรับรูปแบบดีไซน์ Daedalus Wallet ให้มีการใช้งานที่ดีและสะดวกขึ้นอีกด้วย
พัฒนาเรื่อง Hardware Wallet
ทาง Cardano ได้มีการให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาสินทรัพย์เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ยังได้พั?นาการเป๋าอย่าง Yoroi ให้เชื่อมเข้ากับ Ledger Nano, Ledger X และ Trezor ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาอีกมากมายสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Shelley Work Scope
ยุค Goguen กับ Smart Contract ตามแบบของ Cardano
ในยุคของ Goguen นั้นเป็นยุคที่ท้าทายกับ Cardano เป็นอย่างมาก เนื่องจากยุคนี้เป็นการเปิดตัวและใช้งานจริงของ Smart Contract ซึ่งทางผู้พัฒนาได้อัพเดทเพื่อที่จะรองรับในการทำ Smart Contract และ dApps ในองค์กรและภาคธุรกิจ ซึ่งผลงานที่โดดเด่นในยุค Goguen คือการสร้าง Plutus ซึ่งเป็น Application Framework (PAF) ที่ทำงานบนเครือข่ายของ Cardano พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ Cardano สามารถทำงานร่วมกันกับเว็บเบราว์เซอร์อย่างเต็มรูปแบบ

ผลงานเด่นในยุค Goguen
ในช่วงยุค Goguen นั้นเกิดการพัฒนาต่างๆมากมายที่มีส่วนช่วยทำให้ Smart Contract ของ Cardano นั้นสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น จะมีการพัฒนาอะไรที่น่าสนใจบ้างไปดูกันครับ
พัฒนา Marlowe
Marlowe เป็นภาษาสำหรับการสร้างสัญญาอัจฉริยะที่เกี่ยวข้องกับการเงิน Financial Smart Contracts มันถูกออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานโดยไม่ใช่สาย Developer ก็สามารถเข้าใจได้ง่าย มันเหมาะกับคนที่ทำงาน สายวิศวกรธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และนักวิเคราะห์ทางการเงิน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อขยายผู้ใช้งาน Smart Contract บน Cardano ได้มากขึ้น
พัฒนา MULTI-CURRENCY LEDGER
การพัฒนาในาส่วนนี้จะช่วยให้รูปแบบการจัดการบัญชีของสกุลเงินต่างๆ ที่ปัจจุบันมีหลากหลาย
กระเป๋าบนโลก Blockchain ทางผู้พัฒนาของ Cardano จึงต้องการทำให้ทุกกระเป๋าสามารถใช้งานบน Cardano ได้ง่ายมากขึ้น
KEVM
KEVM เป็นสัญญาอัจฉริยะคุณภาพสูงที่ได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นทางการซึ่งเข้ากันได้กับเครื่องเสมือน Ethereum (EVM) ซึ่ง KEVM นั้นถูกพัฒนาโดย IOHK
ยุค Basho เพราะการ Scaling ทำให้ Cardano ได้ไปต่อ
ในยุคของ Basho นั้นจะเน้นเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงความสามารถในการปรับขนาดของเครือข่ายเพื่อให้รองรับกับธุรกรรมจำนวนมาก ทั้งนี้ยังมุ่งเน้นไปในเรื่องของการทำงานร่วมกันของเครือข่าย แตกต่างจากยุคก่อนหน้าที่มุ่งเน้นเพียงเรื่องกระจายอำนาจและระบบสัญญาอัจฉริยะ ทางผู้พัฒนาได้เห็นปัญหาความสำคัญในต่อยอดเรื่องของการทำ dApp มากขึ้น ซึ่งการพัฒนาด้าน Scaling จะทำให้สามารถเกิดการรองรับธุรกรรมจำนวนมากได้ โดยในยุค Basho มีการเปิดตัวบล็อก Sidechain เพื่อใช้เป็นกลไกในการ Sharding จากบล็อกเชนหลักมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้นมากขึ้น

โดยรวมแล้ว ในยุค Basho นั้นทำให้ Cardano กลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพสูง ยืดหยุ่นที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายมีความสามารถในการขยายขนาดอย่างยั่งยืนและปลอดภัย ตลอดจนความสามารถในการเพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่ของ Sidechain โดยไม่กระทบต่อแกนหลักของเครือข่าย
ยุค Voltaire จุดสูงสุดของชาว Cardano
ในยุคนี้เป็นยุคที่ Cardano นั้นถูกพัฒนาจนถึงขั้นสูงสุดโดยที่ผู้คนต่างนำมันไปใช้กันอย่างแพร่หลาย และสามารถทำระบบที่มีความสามารถที่จะพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ต้องอาศัยผู้พัฒนาของ Cardano ในการแก้ไขและพัฒนาโครงสร้างต่อไป แต่ทั้งนี้ทาง Cardano ก็ยังคงต้องจับตาและเฝ้าบำรุงรักษาและปรับปรุงระบบให้คงอยู่ในรูปแบบของ Decentralize ต่อไปเพื่อให้โครงข่ายมีความปลอดภัยและคงที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในยุคนี้เป็นยุคที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในเรื่องของการอัพเดทสิ่งใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อเทคโนโลยีต่างหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสามารถติดตามและอัพเดทเพิ่มเติมได้ที่ Cardano Weekly Technical Reports

Tokenomics
อย่างที่ทราบกันดี Cardano ได้มีการสร้างระบบเพื่อมุ่งหวังให้เป็น Smart Contract Platfrom สำหรับเป็นพื้นฐานให้กับผู้ใช้งานได้นำโปรเจคต่างๆมาใช้ในระบบ ซึ่งทาง Cardano ได้มีการออกเหรียญ ADA ซึ่งเป็นเสมือน Governance Token ประจำระบบที่จะช่วยให้เพิ่มสภาพคล่องในระบบที่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดระบบหมุนเวียนภายในพื้นฐานของเหรียญ ADA นั้นถูกสร้างจำกัดมาประมาณ 33,000 ล้านเหรียญ มีการกระจายไปในแต่ละสัดส่วนดังนี้

ถูกกระจายไปยัง Community จำนวน 60% หรือ ราวๆ 19,870,571,328 ล้านเหรียญ
ถูกกระจายไปยัง Core Team จำนวน 24% หรือ ราวๆ 7,948,228,531 ล้านเหรียญ
ถูกกระจายไปยัง Advisor จำนวน 1% หรือ ราวๆ 331,176,188 ล้านเหรียญ
ถูกกระจายไปยัง Dao Treasury จำนวน 5% หรือ ราวๆ 1,655,880,944 ล้านเหรียญ
ถูกกระจายไปยัง Yield Farming จำนวน 10% หรือ ราวๆ 3,311,761,880 ล้านเหรียญ
Partnerships
IOHK
IOHK บริษัทที่เคลมว่าเป็นผู้นำด้านวิศกรรมซอฟต์แวร์ระดับโลก ที่โฟกัสไปในด้านระบบจ่ายเงินให้กับผู้คนนับพันล้านทั่วโลกที่ไม่มีโอกาสในการเข้าถึงบริการด้านการเงิน โดยพวกเขาได้ทำสัญญากับ Cardano Foundation เพื่อสร้างและดูแลระบบของเหรียญ Cardano ไปจนถึงปี 2020 นอกจากนี้พวกเขายังเคยมีส่วนร่วมในโปรเจค Ethereum Classic อีกด้วย

The Cardano Foundation
เป็นมูลนิธิที่ผลักดันโปรเจค Cardano ให้ก้าวหน้า และมีส่วนที่ช่วยให้พัฒนาขีดความสามารถ ของ Cardano ถึงขั้นสูงสุด

Emurgo
Emurgo เป็นผู้ลงทุนลงทุนในธุรกิจ start-ups และช่วยผลักดันโครงการเชิงพาณิชย์ที่จะสร้างขึ้นผ่าน Cardano blockchain

Summary
Cardano เป็นอีกหนึ่งเหรียญที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ซึ่งพื้นฐานของมันถูกพัฒนามาจากการวิจัยเชิงลึกแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งนาย Charles Hoskinson ก็ยังเคยเป็นผู้พัฒนา Ethereum Blockchain อีกด้วย ทำให้เขาเห็นปัญหาและได้ออกมาพัฒนาโครงสร้าง Smart Contract ที่เขาเชื่อว่าจะมาเปลี่ยนโลกของ Blockchain ไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง Cardanp ยังมีจุดเด่นที่เป็นไม้ตายคือ POS แบบ Ouroboros และยังมีการใช้ภาษา Haskell ในการพัฒนาโครงสร้างของ Blockchain อีกด้วย และล่าสุดกับการเปิดตัว Smart Contract จากที่ Hard Fork Cardano Alonzo เปิดตัวออกมานับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างมากว่าโปรเจคต่างๆที่จะเกิดขึ้นจริงบน Cardano นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร หวังว่าผู้อ่านคงจะชอบบทความนี้กันนะครับ
Source :
https://why.cardano.org/
https://docs.cardano.org/
https://roadmap.cardano.org/en/
คำเตือน
1.คริปโทเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน
2.คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนโปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
3.สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้