Bitcoin 101

-
Latest Update:
March 29, 2022
Legal Name:
-
Headquarters Regions:
-
Company Size:
-
Founded Date:
2008
Information
Founders
Roadmap
Tokenomics
Partnerships
Summary

Information

วิวัฒนาการของโลกการเงินรูปแบบใหม่ที่ถูกเปลี่ยนมาทุกยุคสมัยเพื่อเข้าถึงการดำเนินการในชีวิตของมนุษย์ทุกคน คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเงินนั้นสำคัญต่อการดำรงชีวิตมากน้อยเพียงใด การเกิดขึ้นของ Bitcoin นั้นอยู่ในช่วงที่โลกต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวพาสังคมไปสู่ความโปร่งใสและตรวจสอบแหล่งที่มาของธุรกรรมการเงินได้ จึงทำให้ผู้คนเริ่มมีความเชื่อว่ามูลค่าที่แท้จริงของ Bitcoin นั้นไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าที่แท้จริงได้ บทความนี้เราจะพามาเจาะลึกถึงความเป็นมาของ Bitcoin กันว่าทำไมมันถึงมีมูลค่าเยอะขนาดนี้โดยบทความนี้จะเกริ่นรวมตั้งแต่ความเป็นมาของเงิน จนถึงการกำเนิดของ Bitcoin

ความเป็นมาของเงิน

คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเงินนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของเรา ซึ่งจุดประสงค์หลักๆ คือการเป็นสื่อกลางเอาไว้แลกเปลี่ยนสินทรัพย์บางอย่างที่มีคุณค่าและเป็นความต้องการของคน โดยยึดถือ 3 นิยามความหมายของเงินได้ดังนี้

1.เงินคือ Medium of Exchange เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกับสินค้าชนิดต่างๆ

2.เงินคือ Unit of Account เป็นหน่วยนับของมูลค่าของทรัพสินย์ต่างๆ

3.เงินคือ Store of Value เป็นมูลค่าที่สามารถวัดมาตราฐานของสินทรัพย์ชนิดต่างๆ ได้


ทั้งนี้ความเป็นมาของเงินนั้นเกิดขึ้นจากมนุษย์ได้สร้างสิ่งสมมุติต่างๆ ให้มีค่าในการแลกเปลี่ยนโดยยึดกับคุณสมบัติหลักอย่าง Medium of Exchange, Unit of Account และ Store of Value เพื่อสร้างมูลค่าของสิ่งหนึ่งไว้ ซึ่งหากย้อนไปศึกษาภายในจิตใจของมนุษย์ที่ต้องการสิ่งของมีค่าเพื่อสร้างเสริมและไว้ใช้ดำรงชีพ พวกเขาได้พัฒนาทักษะการทำอาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เอาไว้ใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของที่ตัวเองอยากครอบครอง ซึ่งวิวัฒนาการของเงินในแต่ละยุคสมัยนั้นจะมีอะไรบ้าง ตามไปอ่านกันต่อได้เลยครับ

ยุคสมัยของเงิน

ในยุคสมัยของเงินได้พัฒนาไปตามช่วงเวลาและสถานการณ์ต่างๆ ถูกแบ่งออกเป็น 5 การเปลี่ยนแปลงสำคัญดังนี้

ยุคที่ 1 Commodity Money

ในยุคแรกสุดของอารยธรรมมนุษย์ ที่เป็นยุคที่เกษตรกรรม และล่าสัตว์เพื่อดำรงชีพ มนุษย์ได้ใช้สินของอย่างขนสัตว์ หนัง เกลือ ข้าว ข้าวสาลี เป็นเงินในการแลกเปลี่ยนสินค้าอื่นๆ เพื่อสนองความต้องการ การแลกเปลี่ยนประเภทนี้เรียกว่า 'การแลกเปลี่ยนบาร์เทอร์'

ยุคที่ 2 Metallic Money

ด้วยความก้าวหน้าของอารยธรรมมนุษย์ เงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนเดิมที่เป็นรูปแบบสินค้าโภคภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นเงินโลหะ เช่น ทอง เงิน ทองแดง ฯลฯ ถูกนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยน เนื่องจากสามารถจัดการและตรวจสอบได้ง่าย

ยุคที่ 3 Paper Money

ต่อมาหลังจากยุค Metallic Money พบว่าไม่สะดวกและเป็นอันตรายในการพกพาเหรียญทองและเงินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง มนุษย์จึงประดิษฐ์เงินกระดาษ โดยเงินกระดาษถูกควบคุมโดยธนาคารกลางของประเทศ  รวมไปถึงการผลิตที่ต้องออกโดยธนาคารกลางของประเทศเท่านั้น

ยุคที่ 4 Credit Money

เงินเครดิต Credit Money เกิดขึ้นจากแนวคิดใกล้เคียงข้างกับเงินกระดาษ ประโยชน์หลักๆ ของมันช่วยให้ผู้คนเก็บเงินสดไว้เป็นเงินฝากกับธนาคาร ซึ่งพวกเขาสามารถถอนออกได้ตามสะดวกผ่านเช็ค (เงินเครดิต) ซึ่งตัวมันเองไม่ใช่เงิน แต่ทำหน้าที่และมีคุณสมบัติเหมือนกับเงิน

ยุคที่ 5 Plastic Money

เงินประเภทล่าสุดคือเงินพลาสติกในรูปของบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ซึ่งมันถูกพัฒนาเพื่อทำให้สะดวกต่อการพกเงินเพื่อทำธุรกรรม

ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเป็นการเกริ่นนำว่าในแต่ละช่วงโลกของเรานั้นได้มีการพัฒนาสิ่งสมมุติเพื่อเอาไว้ใช้เป็นมาตราฐานในการดำเนินการใช้ชีวิตด้วยสิ่งของต่างๆมากมาย แต่รู้หรือไม่จริงๆแล้วก้าวกระโดดของเรื่องเงินก้าวสำคัญของโลกนั้นคือช่วงที่โลกเราปรับมาใช้ระบบที่เรียกกันว่า Fiat Currency ซึ่งในปัจจุบันก็ใช้อยู่ เดี่ยวเรามาหาคำตอบกันต่อดีกว่าว่าความเป็นมาของ Fiat Currency นั้นเป็นอย่างไร ตามไปอ่านกันต่อได้เลยครับ

Fiat Currency ระบบเงินโลกปัจจุบัน

Fiat Currency หรือเงินกระดาษ เป็นหนึ่งในสิ่งสมมุติที่ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ต่างๆ ในระบบทุนนิยมที่มีมาตราฐานการดำเนินการกลไกผ่านระบบของเงิน ซึ่งในการบริการการปกครองในหลายๆประเทศก็จะมีสกุลเงินเป็นของตัวเองโดยใช้ Fiat Currency เป็นตัวค้ำฐานเพื่อดำเนินการสร้างเศรษฐกิจขึ้นมา ดังนั้น Fiat Currency จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชากรทุกคนนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เนื่องจากทุกประเทศต้องใช้ Fiat Currency ในการดำเนินชีวิต แล้วหลายๆคนเคยคิดหรือไม่ว่าสิ่งที่เราเชื่อยึดถืออยู่ที่เรียกกันว่า Fiat Currency นั้นเป็นมาและมีความสำคัญอย่างไร เรามาหาคำตอบกันดีกว่า

กว่าจะมาเป็น Fiat Currency

ต้องเกริ่นก่อนว่ากว่าจะมาเป็นยุคปัจจุบันที่เราใช้เงิน Fiat Currency กันอย่างแพร่หลายเนี่ยความเป็นมามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเลย เนื่องจากมันต้องผ่านยุคต่างๆ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งต่างๆ มหาอำนาจต่างเปลี่ยนดุลโลกโดยยึดใช้มาตราฐานต่างๆในการควบคุมระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ยุค Gold Standard ต่อมาก็เป็น Bretton Woods จากนั้นก็เข้ามาสู่ยุค Nixon Shock ที่เปรียบเสมือนจุดจบของยุคทองคำที่เอาไว้ใช้แลกเปลี่ยน จึงทำให้คนนั้นหันมาใช้ Fiat Currency กันนั้นเอง (เอาจริงก็อเมริกานั้นแหละที่สร้างภาพต้องการใช้ US Dollar เป็นตัวกลางในการสร้างมาตราฐานใหม่ของโลก) ซึ่งแต่ละยุคจะเป็นมาอย่างไรบ้างตามไปอ่านกันครับ

Gold Standard

ระบบมาตราฐานทองคำนั้นเกิดขึ้นมาช่วงระหว่างปี ค.ศ.1870 ซึ่งเป็นระบบมาตราฐานที่เอาไว้ใช้เป็นสินทรัพย์ในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศในยุคสมัยที่เศรษฐกิจโลกกำลังเริ่มเชื่อมต่อกันเป็นระบบ โดยมาตราฐานทองคำนี้ได้ยึดเอาคุณสมบัติของทองคำที่หายาก โดยนำมาเป็นตัวชี้วัดถึงมูลค่าที่ประเมินค่าได้โดยอยู่ในมาตราฐานเดียวกันทั้งโลกโดยประเทศแรกที่เริ่มนำระบบ Gold Standard มาใช้นั้นจะเป็นประเทศอังกฤษซึ่งได้ผูกค่าเงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิงไว้กับทองคำเป็นครั้งแรกทำให้ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงนั้นมีมูลค่าคงที่ ง่ายต่อการแลกเปลี่ยน จึงทำให้ทั้งโลกนั้นสนใจประเทศอังกฤษเป็นอย่างมาก ส่งผลให้การค้า อุตสาหกรรม การเมือง และการทหารของอังกฤษนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น เรียกว่าได้เป็นมหาอำนาจโลกในช่วงยุคปลายศตวรรษที่ 19 เลยก็ว่าได้



ข้อดีของ Gold Standard

1.มีทองคำใช้ค้ำมูลค่าโดยสามารถไปแลกทองคืนได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะถือสกุลเงินอะไรก็ตาม

2.ทำให้เงินมีมาตราฐานด้วยอัตรามูลค่าค้ำกับทองคำที่คงที่ เช่น ทองคำ 1 ออนซ์ จะเท่ากับ 20.646 ดอลลาร์ และเท่ากับ 4.252 ปอนด์

3.ความนิยมของ Gold Standard ส่งผลให้เกิดการค้าระหว่างประเทศได้ดี

4.ทำให้หลายประเทศเห็นด้วยกับ Gold Standard เช่น อังกฤษ สเปน หรือเยอรมัน ส่ง

ผลให้เกิดความน่าเชื่อถือใน Gold Standard 

ต่อมาในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 หลายๆประเทศต่างมุ่งหาเงินเพื่อเอาไปพัฒนาศักยภาพด้านทางการทหารส่งผลให้แต่ละประเทษเกิดการพิมพ์เงินออกมาโดยไม่สนใจถึงการค้ำของทองคำที่เป็นจุดสำคัญที่จรึงมูลค่าของเงินในแต่ละสกุลช่วงนั้นไว้ได้ และเหตุนี้เองจึงทำให้ค่าเงินเฟ้อเป็นอย่างมากจึงทำให้เกิดฟองสบู่แตกฉึดให้เศรษฐกิจโลกนั้นเข้าสู่ยุคที่ต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์และทำให้คนไม่เชื่อใน Gold Standard อีกต่อไป

Bretton Woods 

เป็นช่วงที่ถัดจาก Gold Standard ที่เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทางสหรัฐที่เริ่มมีบทบาทในเวทีโลก ได้เไปยังเมืองเบรตตันวูดส์ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์เพื่อหารือเกี่ยวกับการกำหนดระบบเทรดของโลกแบบใหม่โดยวางมาตราฐานการควบคุมการเงินโลกโดยไม่ให้ทุกประเทศบนโลกนั้นพิมพ์เงินออกมาจำนวนมากเกินไป ทั้งนี้ยังมีการดำเนินการให้ประเทศอื่นๆ นั้นสำรองเงินดอลลาร์ไว้อีกด้วย

ข้อดีของ Bretton Woods 

1.มีผู้นำโลกอย่างสหรัฐอเมริกาเป็นตัวควบคุมมาตราฐานเงินดอลลาร์ทำให้มีมาตราฐาน

2.ประเทศส่วนใหญ่ที่ใช้ระบบ Bretton Woods มั่งคั่งมากขึ้น

3.ยังคงใช้ทองคำค้ำเหมือนเดิมโดย อ้างอิงจาก 35 ดอลลาร์ต่อ 1 ออนซ์ทองคำ

4.เป็นมาตราฐานใหม่ที่ทำให้โลกเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจที่อิงด้วยเงินดอลลาร์

Nixon Shock

คำว่า Nixon มาจากชื่อ ประธานาธิบดีนิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกา โดยในวันที่ 15 สิงหาคม 2514 ประวัติศาสตร์การเงินของโลกได้บันทึกไว้ว่า เป็นวัน ‘Nixon’s Shock’ เนื่องจากเป็นวันที่ประเทศสหรัฐฯ ประกาศงดรับแลกเงินดอลลาร์ เป็นทองคำ เนื่องจากมีการนำเงินดอลลาร์จากต่างประเทศมาแลกเป็นทองคำจากทุนสำรองของสหรัฐจำนวนมาก เหตุนี้เองจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสัญญาณการล่มสลายของระบบ Bretton Woods

และทั้งหมดที่กล่าวไปนั้นก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นถึงความเป็นมาของการเงินที่เราใช้กันอยู่บนโลกปัจจุบัน เอาเข้าจริงแล้วในแต่ละช่วงก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ใช้การพิมพ์เงินอัดฉีดเข้ามาเรื่อยๆ โดยแค่บอกว่าอ้างอิงกับทองคำในปริมาณต่างๆ เท่าไหร่ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเราไม่รู้เลยว่ามันอิงกับทองคำจริงๆไหม แล้วมีใครเคยแลกทองคำออกมาจริงบ้างไหม อเมริกาผู้คุมกฏดังกล่าว เราเชื่อถือได้แค่ไหน หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่นิยายเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีตอนจบ

ด้วยเหตุนี้เองทำให้มีกลุ่มคนที่เกิดความสงสัยในความไม่โปร่งใสดังกล่าวพยายามที่จะคิดค้นระบบในการดำเนินการทำค่าเงินโลกให้มีความโปรงใสและมีมาตราฐานเป็นเหตุให้บนโลกนี้ได้ถือกำเนิด Bitcoin ขึ้นมา

กำเนิด Bitcoin

Bitcoin เป็นเหรียญ Cryptocurrency เหรียญแรกที่เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ปี 2008 เป็นเหรียญประเภท Store of Value เปรียบเสมือนทองคำยุคดิจิตอล ด้วยจุดเด่นของมันที่มีจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น จึงทำให้มูลค่าของมันยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มขึ้น Bitcoin ถูกสร้างอยู่ในเทคโนโลยี “Blockchain” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดความโปร่งใส เพราะทุกคนสามารถตรวจสอบทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นได้ว่าสินทรัพย์นั้นๆ ถูกโอนถ่ายไปที่ใด

วันแรกของ Bitcoin

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2008 ทางเว็บ bitcoin.org ได้ถูกสร้างขึ้นมา และหลังจากนั้นเพียง 1 ปี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2009 ได้มีเอกสาร Whitepaper เรื่อง A Peer-to-Peer Electronic Cash System เผยแพร่ผ่าน bitcoin.org จากนาย Satoshi Nakamoto โดยบทคัดย่อใน Whitepaper โดยสังเขปใจความว่า 

“แนวทางการชำระเงินแบบ peer-to-peer จะช่วยในการส่งธุรกรรมทางการเงินจากคนหนึ่ง ไปสู่อีกคนหนึ่งได้โดยไม่ต้องผ่านบุคคลที่สามอย่างสถาบันการเงิน ปัญหาการใช้จ่ายซ้ำซ้อน (double spending)อันเป็นการฉ้อโกง เป็นสาเหตุที่ทำให้ สถาบันการเงินยังคงดำรงอยู่เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ และป้องกัน Satoshi Nakamoto ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหานี้โดยใช้ ลายเซ็นดิจิตอล (hash) การประทับตราเวลา (timestamp) เมื่อเกิดธุรกรรมขึ้น และ Blockchain  ที่เป็นการบันทึกประวัติการทำธุรกรรม ที่เปลี่ยนแปลง และทำซ้ำไม่ได้”

ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง Bitcoin whitepaper ฉบับแปลไทย

วิวัฒนาการเข้ารหัสลับ

​​ตามที่กล่าวข้างต้นหลายท่านคงทราบแล้วว่านาย Satoshi Nakamoto คือ คนที่เผยแพร่ Whitepaper เรื่อง  A Peer-to-Peer Electronic Cash System ระบบการเงินแบบใหม่ออกมา จากการสืบค้นประวัติหาข้อมูลพบกลับไม่พบว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร แหล่งข่าวบางแหล่งได้ให้ข้อมูลไว้ว่าเขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยเกิดวันที่ 5 เมษายน 1975 หากคิดอายุเทียบปีปัจจุบัน อายุเพียง 46 ปีเท่านั้น

นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่าด้วยความละเอียดของเอกสาร Whitepaper ชุดดังกล่าวไม่น่าจะใช่คนเดียวที่ทำขึ้นมา มันน่าจะถูกออกแบบมาจากทีมผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการทำระบบเข้ารหัส และภาษาอังกฤษที่ถูกเรียบเรียงมานั้นส่อให้เห็นว่านาย Satoshi Nakamoto น่าจะไม่ใช่คนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นปริศนาที่คาใจหลายๆคนเกี่ยวกับเรื่องราวของนาย Satoshi Nakamoto อีกด้วย

Cypherpunks กลุ่มนักพัฒนาระบบการเข้ารหัส ถูกนักวิเคราะห์มองว่าเป็นกลุ่มที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของ Whitepaper ดังกล่าว

ระบบเครือข่าย Blockchain

Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนโลกทางด้านการเก็บข้อมูลโดยแก้ไขจากปัญหาเดิมเรื่องการปลอมแปลงข้อมูล โดยคอนเซปของ Blockchain นั้นจะเป็นการเก็บข้อมูลในแต่ละบล็อกเพื่อต่อโครงข่ายเก็บข้อมูลเป็นห่วงโซ่ขนาดใหญ่ บล็อก (Block) เปรียบเสมือนกล่องที่เก็บข้อมูล และเชน (Chain) เปรียบเสมือนโซ่ ซึ่งระบบจะใช้วิธีการเข้ารหัสทางคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนในการจัดการข้อมูลทั้งหมดกระจายเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายทำให้เกิดการปลอมแปลงได้ยาก ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลบน Blockchain นั้นมีจุดประสงค์หลักๆและมีมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐานดังนี้

 1.ความถูกต้อง (Data Integrity) เนื่องจาก Blockchain นั้นต้องอาศัยการยืนยันข้อมูลในแต่ละ Block โดยอาศัยการเชื่อมโยงจาก Block ปัจจุบัน และ Block ก่อนหน้าด้วย หลังจากบันทึกลงใน Blockchain แล้วจะไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ 

2.ความโปร่งใสของข้อมูล (Data Transparency) เนื่องจากในระบบ Blockchain จะเก็บข้อมูลเดียวกันทั้งหมดในเครือข่าย โดยไม่มีจุดใดเป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูล จึงทำให้มีความโปร่งใสอย่างมาก

3.ความสามารถในการทำงานต่อเนื่อง (Availability) ระบบ Blockchain นั้นจะไม่มีวันล่ม เพราะข้อมูลที่ถูกกระจายออกไปทุกเครือข่ายทำให้สามารถทำงานทดแทนกันได้ด้วย หรือถ้าเป็นไปได้จะต้องพังทุก เครือข่ายในเวลาเดียวกันถึงจะทำลายมันลงได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากๆ

Blockchain ไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ได้ถูกสร้างโดยนาย Satoshi

หลายคนคงรู้และหาประวัติ Blockchain มาแล้วไม่มากก็น้อยและคงเข้าใจว่า Blockchain เกิดมาพร้อม Bitcoin เมื่อปี 2008 แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น Blockchain เป็นแนวคิดของการจัดเก็บข้อมูลที่มีมาตั้งแต่ 1991 โดยนาย Stuart Haber และ W. Scott Stornetta นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าได้เสนอให้ใช้วิธีบันทึกเวลา (Time-Stamps) ลงบนเอกสารดิจิทัล เพื่อมุ่งหวังให้เอกสารดังกล่าวไม่สามารถปลอมแปลงหรือแก้ไขได้ หลังจากนั้นในปี 1992 ได้มีการพัฒนาระบบให้เป็นแบบ Merkle branches ซึ่งเป็นไบนารีโครงสร้างข้อมูลที่ดีสำหรับการจัดเก็บและตรวจสอบข้อมูล แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่

ต่อมาในปี 2004 นาย Hal Finney (Harold Thomas Finney II) นัก Computer Scientist and Cryptographer ได้พัฒนาและต่อยอดระบบที่เรียกว่า RPoW หรือเรียกกันว่า Reusable Proof Of Work ซึ่งเป็นระบบที่จะนำมาจัดการข้อมูลที่ไม่สามารถปลอมแปลงได้โดยอาศัย Hashcash หรือเรียกกันว่าลายนิ้วมือบนโลก Digital เป็นตัวบันทึกกำหนดการแก้ไขข้อมูลเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และการเก็บข้อมูลที่ถูกพัฒนาต่อกันมาทำให้เกิดการประยุกต์ใช้เข้ากับอุตสาหกรรมด้านการเงินเมื่อปี 2008 ได้มีบุคคลหนึ่งนามว่า Satoshi Nakamoto ได้ออก Whitepaper เกี่ยวกับ Decentralized Network Electronic Cash System (เงินดิจิตอลแบบกระจายศูนย์) ซึ่งระบบดังกล่าวอาศัยพื้นฐานของของ RPoW แต่จะมีส่วนต่อขยายมาในเรื่องของ Mining (การขุดเหมือง) 

วิธีหา Bitcoin

ปัจจุบันสามารถหา Bitcoin ได้ 2 วิธีด้วยกันดังนี้

1.การขุดเหรียญ (Mining) 

การขุดเหรียญ คือ การใช้เครื่องอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคส์ที่มีประสิทธิภาพในการคำนวณทางคณิตศาสตร์ขึ้นสูง โดยผู้ใช้จะนำอุปกรณ์ดังกล่าวในที่นี้จะเรียกกันว่า “เครื่องขุดเหรียญ” ไปเชื่อมต่อเข้าระบบ Pool ต่างๆที่เปิดบริการในโลกออนไลน์ หรือเรียกกันว่าการ Join Mining Pool ซึ่งมันเปรียบเสมือนโครงข่ายของผู้ขุดเหรียญขนาดใหญ่รวมกันเพื่อใช้เครื่องขุดแก้สมการคณิตศาสตร์ที่อยู่ในระบบ Blockchain หลังจากที่แก้สมการได้แล้วระบบจะจ่ายเป็น เหรียญ Bitcoin ออกมาให้ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะเรียกว่า Proof of Work ซึ่งเป็นหนึ่งใน Consensus Algorithms ของเทคโนโลยี Blockchain 





2.การซื้อขายแลกเปลี่ยน (Trading) 

การซื้อขายแลกเปลี่ยนปัจจุบันจะมีด้วยกันอยู่ 2 วิธี

2.1 การซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่าน Exchange  คือ การนำเงินของผู้ลงทุนมาซื้อเหรียญ Bitcoin ที่เปิดขายใน Exchange ชั้นนำต่างๆ โดยผู้ซื้อต้องทำการ KYC (Know Your Customer) ซึ่งเป็นวิธีการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน ในแต่ละเว็บเทรดที่ต้องการใช้บริการ หลังจากดำเนินการยืนยันตัวตนเสร็จสิ้นผู้ใช้งานจะสามารถซื้อขายเหรียญ Bitcoin ได้ โดยมีอัตราค่าธรรมเนียมตามที่เว็บเทรดต่างๆ กำหนดไว้

2.2 การซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบ Peer to Peer คือ การแลกเปลี่ยนโดยผู้ใช้งานกับผู้ใช้งานโดยตรงโดยไม่ผ่านตัวกลางใดๆ โดยมีเพียงแค่ Contract Address (ที่อยู่สัญญา) ผู้ใช้งานก็สามารถโอนถ่ายสินทรัพย์ในโลก Cryptocurrency ได้ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างซับซ้อนจึงไม่เหมาะแก่มือใหม่เท่าไหร่   




การเก็บรักษา Bitcoin

Hardware Wallet

Hardware Wallet เป็นชื่อเรียกกระเป๋าเงินดิจิตอลที่ทำหน้าที่เก็บรักษา Private Key ไม่ให้เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ต ลักษณะการใช้งานของมันจะเป็นเหมือนตัวต่อแยกออกมาจากคอมพิวเตอร์เพื่อให้เราสามารถเก็บเหรียญ Bitcoin ไว้ในนั้นได้อย่างปลอดภัย โดยมีข้อดีและข้อเสียดังนี้

ข้อดี

  • สร้างความปลอดภัยให้กับการเก็บรักษา Bitcoin ได้เป็นอย่างดีทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณออฟไลน์ไม่เสี่ยงกับการถูกแฮ็ก
  • เสริมสร้างไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานให้ดูเท่ขึ้น

ข้อเสีย

  • มีต้นทุนที่สูงกว่าหากเทียบกับ Software Wallet

Software Wallet

สำหรับ Software Wallet สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

Mobile Wallet

Mobile Wallet เป็น Application ทำหน้าที่เป็นเสมือนกระเป๋าเงินเก็บ Bitcoin โดยผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลด Application มาติดตั้งในมือถือได้ทันทีเพียงแค่มีอินเตอร์เน็ต ซึ่งเจ้าตัว Mobile Wallet จะบันทึก Private Key ไว้บนมือถือนั้นเอง

ข้อดี

  • ใช้งานและเข้าถึงได้ง่าย 
  • มีหลากหลาย Application ให้เลือกใช้งาน

ข้อเสีย

  • มีความเสี่ยงในการโดนแฮกมือถือ
  • สำหรับมือใหม่ที่ทำโทรศัพท์หาย ต้องใช้ขั้นตอนในการกู้บัญชีขั้นสูงผ่าน Private Key 

Desktop Wallet

Desktop Wallet เป็นกระเป๋าเงินที่ทำงานและติดตั้งอยู่บนคอมพิวพ์เตอร์ โดยผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บชุด Private Key ไว้ในฮาร์ดไดร์ฟของคอมพิวพ์เตอร์ได้โดยตรง

ข้อดี

  •  Private Key ของผู้ใช้งานถูกจัดเก็บไว้ในในฮาร์ดไดรฟ์ซึ่งมีความปลอดภัยในการเก็บรักษาสูง

ข้อเสีย

  • พกพาไม่สะดวก

มูลค่าของ Bitcoin

Gold vs. Bitcoin


กล่าวได้ว่าเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในกระแสของบิทคอยน์กับทองคำ ซึ่งทั้ง 2 เป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลมากในปัจจุบัน ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องเรามาย้อนดูประวัติของแต่ละสินทรัพย์กันก่อนดีกว่าว่ามีความเป็นมากันอย่างไร

จากที่กล่าวข้างต้นเรื่องบิทคอยน์นั้นเกิดขึ้นช่วงปี 2018 หากเทียบกับทองคำนั้นถูกค้นพบมาตั้งแต่ช่วง 4,600 ปีที่แล้ว ซึ่งมนุษย์มีการนำทองไปใช้งานจริงๆ เราเรียกยุคนั้นกันว่าอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนกว่ามูลค่าของทองคำเติบโตได้ช้ากว่าบิทคอยน์เป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันทองคำนั้นมี Market Cap อยู่ที่ $11.145 T แต่บิทคอยน์นั้นอยู่ที่ $824.87 B ห่างกันถึง 12 เท่า แต่หากเมื่อเทียบกับระยะเวลาตั้งแต่วันแรกที่เกิดขึ้นมา นับว่าบิทคอยน์นั้นเติบโตรวดเร็วกว่ามาก หากมาดูความแตกต่างของบิทคอยน์กับทองคำสามารถเทียบได้คร่าวๆดังนี้

- ในแง่บริบททางกฏหมายในปัจจุบันทองคำนั้นมีความได้เปรียบกว่า Bitcoin

- ในแง่ของความหายากกว่าได้ว่าทั้ง 2 นั้นมีความหายากเหมือนๆกัน

- ในแง่ของสภาพคล่องทั้ง 2 มีสภาพคล่องที่สูงมาก

- ในแง่ของความผันผวนกล่าวได้ว่าบิทคอยน์นั้นผันผวนสูงกว่าทองคำเป็นอย่างมาก

- ในแง่ของการเข้าถึงปัจจุบันทองคำทำได้ดีกว่าบิทคอยน์

- ปัจจุบันทองคำถูกใช้เป็นหลักประกันของธนาคารกลางโลก ซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก

World's Megacorps vs. Bitcoins

ความร้อนแรงของบิทคอยน์นั้น ด้วยจุดเด่นคือไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มี CEO หรือตำแหน่งหน่วยงานในองค์กรแห่งนี้ มีเพียงโค้ดที่สร้างมาเพื่อออกแบบให้เป็นเงินของทุกคน ซึ่งนับว่าเป็นตัวอย่างบริษัทที่มีความเป็น Decenetralized สูงมากๆ อีกทั้งยังมีความโปร่งใสในการตรวจสอบอีกด้วย

ตามที่กล่าวข้างต้นทำให้บิทคอยน์นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยหากเทียบกับบริษัทที่มี

มูลค่าสูงนับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับหลายๆบริษัทเพราะว่าการกำเนิดของบิทคอยน์เพียงไม่นานก็มีมูลค่าแซงหลายๆบริษัทกันแล้ว เรามาดูกันดีกว่าปัจจุบันมีบริษัทใดบ้างที่โดนบิทคอยน์แซงหน้าไปแล้ว


​​

Bitcoins vs. Tesla

Tesla เป็นบริษัทของ นาย Elon Musk ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้ารวมไปถึงสร้างส่วนประกอบระบบส่งกำลังของยานพาหนะไฟฟ้า ปัจจุบันเป็นบริษัทมหาชนมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ $776,852M โดยก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2003 โดยในปัจจุบันมูลค่าของบริษัท Tesla นั้นถูก Bitcoin แซงหน้าไปแล้ว โดยขณะนี้ Bitcoin มีมูลค่าตลาดสูงถึง $843,817M โดยมีอัตราเติบโตกว่าสูงถึงราวๆ 8% ซึ่งหากย้อนไปดูแล้วบริษัท  Tesla ก่อตั้งมาก่อน Bitcoin ถึง 5 ปี 



Bitcoins vs. Visa

Visa เป็นบริษัทข้ามชาติให้บริการด้านการเงินสัญชาติอเมริกัน มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองฟอสเตอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทที่ให้บริการด้ารการชำระเงินด้วยวิธีการโอนเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ETF)  ปัจจุบันเป็นบริษัทมหาชนมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ $488,800M โดยก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1958 โดยในปัจจุบันมูลค่าของบริษัท Visa นั้นถูก Bitcoin แซงหน้าไปแล้ว กว่า 72% 



Bitcoins vs. Alibaba 

Alibaba เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลายประเภทรวมกันทั้งอีคอมเมิร์ซ ค้าปลีก อินเทอร์เน็ต เอไอและเทคโนโลยีข้ามชาติของจีน ก่อตั้งในปี 1999  ปัจจุบันเป็นบริษัทมหาชนมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ $401,350M โดยในปัจจุบันมูลค่าของบริษัท Alibaba  นั้นถูก Bitcoin แซงหน้าไปแล้ว กว่า 110% 




เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ Bitcoin ที่เกิดขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่ปีแต่มูลค่าของมันได้เติบโตไปอย่างรวดเร็วแซงหน้าหลายๆบริษัทแนวหน้าระดับโลกไปแล้ว เรามาดูกันต่อดีกว่าว่า Bitcoin นั้นถูกมหาอำนาจโลกอย่างประเทศอเมริกากับจีนพูดถึงกันอย่างไรบ้าง

มหาอำนาจโลกกับ Bitcoin

จีน กับ Bitcoin

จีนเป็นมหาอำนาจโลกที่มีบทบาทเกี่ยวกับบิทคอยน์เป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันประเทศจีนได้เป็น

ประเทศที่สร้างเครื่องขุด Bitcoin ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่าง Bitmain อีกทั้งยังสร้างเหรียญ หยวนดิจิตอลอย่าง DCEP ขึ้นมาอีกด้วย


Bitmain

บริษัทผลิตอุปกรณ์ขุดเหรียญคริปโตแบบ ASIC จากประเทศจีน ก่อตั้งโดยนาย Jihan Wu และ Micree Zhan พื้นหลังนั้นเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Computing Ships และ Software โดยบริษัท Bitmain ได้มีการระดมทุนในรอบ Series B โดยได้เงินระดมไปสูงถึง $422M จากผู้สนับสนุนหลักอย่าง Crimson Ventures ที่เป็น VC ระดับแนวหน้าชื่อดังอีกด้วย


Tencent เปิดตัว NFT Platfrom

บริษัทอีคอมเมิร์ซยักใหญ่ในจีนอย่าง Tencent เปิดตัว NFT Platform ที่ถูกพัฒนามาจาก  Blockchain โดยมีความเป็น Decentralized เหมือนกับ Bitcoin 

Tencent เปิดตัวแพลตฟอร์มการซื้อขาย NFTs ชื่อ Huanhe ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว ได้มีการเปิดตัวขาย NFT กว่า 300 แบบ เป็นแผ่นเสียงของรายการทอล์คโชว์ชื่อดังที่พัฒนาโดย Tencent อย่าง "Shisanyao" ทั้งนี้ทาง Tencent ได้จุดมุ่งหมายที่ต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ในประเทศจีน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Technode


หยวนดิจิตอล DCEP

หยวนดิจิทัล หรือ “Digital Currency Electronic Payment (DCEP)” เป็นสกุลเงินดิจิตัลสกุลใหม่ที่ถูกสร้างโดยธนาคารกลางของจีน มีมูลค่าเท่ากับเงินหยวนในรูปแบบของกระดาษ สามารถใช้แทนกันได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย โดยชาวจีนสามารถดาวน์โหลด App “DCEP Wallet” ซึ่งเป็นเหมือนกระเป๋าเงินที่เอาไว้ใช้งานนั่นเอง


นอกจากนี้ทางจีนยังเริ่มมีการพัฒนาอีกหลายอย่างโดยอาศัยเทคโนโลยีทาง Blockchain ที่เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เป็นส่วนช่วยให้ Bitcoin นั้นมีมูลค่าขึ้นมาได้ แม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลจีนจะมีการกวาดล้างเหมืองขุดต่างๆ มากมายในประเทศและได้เริ่มมีการกำชับให้เว็บเทรดชื่อดังอย่าง Huobi และ Binance ในการสมัครสมาชิกสำหรับผู้ใช้งานรายใหม่ นั้นก็ไม่ได้ทำให้ราคาของ Bitcoin ลดลงเลยแต่อย่างใด 

อเมริกา กับ Bitcoin

อเมริกานับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เป็นเหมือนมหาอำนาจควบคุมโลก ทั้งนี้บทบาทของอเมริกากับ Bitcoin นั้น ต่างเป็นที่รู้กันดีกว่ามีบทบาทมากเพียงใด ปัจจุบันบริษัทอย่าง Circle ที่ทำบริการด้านการชำเงินและได้ออกเหรียญ Stable Coin อย่าง USDC ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทั้งนี้ Circle นั้นซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Goldman Sachs ธนาคารของอเมริกาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่เป็นเสมือนเส้นเลือกของอเมริกาได้ทำการซื้อและเก็บสะสม Bitcoin ไว้จำนวนมหาศาลอีกด้วย อย่าง MICRODTRATEGY และ TESLA เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเว็บเทรดชื่อดังที่รองรับโดยรัฐบาลสหรัฐอย่าง Coinbase อีกด้วย



Tesla ซื้อบิทคอยน์

Tesla ส่งเอกสารรายงานต่อคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือ SEC ว่าบริษัทได้ซื้อบิตคอยน์ เป็นมูลค่ารวม 1,500 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทให้เหตุผลว่าการซื้อบิตคอยน์นั้นเป็นการกระจายการลงทุน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากเงินสดที่บริษัทมีอยู่ นอกจากนี้ยังระบุว่า Tesla อาจรับชำระค่าสินค้าด้วยบิตคอยน์ในอนาคต





MicroStrategy ซื้อบิทคอยน์

MicroStrategy บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการวิเคราะห์ทางธุรกิจ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน ว่า บริษัทได้ใช้งบราว 489 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าซื้อเหรียญ Bitcoin เพิ่มอีกจำนวน 13,005 เหรียญ โดยคิดเป็นราคาเฉลี่ยตกเหรียญละประมาณ 37,617 ดอลลาร์สหรัฐ



El Salvador กับ Bitcoin

เอลซัลวาดอร์ หรือชื่อทางการ สาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์ เป็นประเทศในแถบอเมริกากลาง มีจำนวนประชากรเกือบ 6.7 ล้านคน เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดในแผ่นดินใหญ่ของ (ทวีป) อเมริกา และเป็นประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากที่สุดในภูมิภาค ประเทศเอลซัลวาดอร์มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในอเมริกากลางรองจาก กัวเตมาลา และ คอสตาริกา เมื่อเปรียบเทียบกันด้วยขนาดจีดีพี เศรษฐกิจของเอลซัลวาดอร์แยกเป็น ด้านบริการ 64.1% อุตสาหกรรม 24.7% และเกษตรกรรม 11.2%


El Salvador ประเทศแรกที่รับ Bitcoin ใช้ชำระหนี้ตามกฏหมาย

เนื่องด้วยความนิยมของ Bitcoin ประเทศ El Salvador ได้นำเรื่อง Bitcoin เข้าพิจารณาผ่านสภาเห็นชอบในข้อเสนอรับรองเงินดิจิทัลในการชำระหนี้ตามกฎหมายของประธานาธิบดี Nayib Bukele ซึ่งผลโหวตผ่านไปได้ดี ได้รับคะแนนเสียง 62 โหวต จาก 84 โหวต


Founders

BitCoin สร้างขึ้นโดย Satoshi Nakamoto บุคคลลึกลับที่อ้างว่าตัวเองมาจากประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเดี่ยวกับตัวเขา เขาใช้อีเมลจากบริการฟรีเพื่อพูดคุยในเมลลิ่งลิสด้านการเข้ารหัส เขาเริ่มพัฒนา BitCoin ในปี 2007 และเปิดเผยมันออกมาในปี 2009 จากนั้นจึงค่อยๆ ลดบทบาทตัวเองลงไป จนกระทั่งหายตัวไปในที่สุด เชื่อกันว่าชื่อ Satoshi ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อโครงการนี้ เมื่อพิจารณาจากความเชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัสที่สูงมาก แต่กลับไม่มีชื่อนี้ในวงการวิชาการการเข้ารหัส เช่น บทความในวารสารวิชาการหรืองานประชุมวิชาการใดๆ ที่เป็นที่รู้จัก

LinkedIn

Roadmap

2008 - ออกเอกสาร White Paper

2009 - เกิดการใช้งาน Bitcoin จริงเป็นครั้งแรก โดยมีการโอน Bitcoin เหรียญสกุลเงิน Digital เหรียญแรก จำนวน 10 BTC โดยโอนจากนาย Satoshi Nakamoto ไปยังนาย Hal Finney

2012 - Having ครั้งแรกโดยมีการลดรางวัลจาก 50 เหรียญ เป็น 25 เหรียญ
2016 - Having ครั้งแรกโดยมีการลดรางวัลจาก 25 เหรียญ เป็น 12.5 เหรียญ

2017 - ชุมชนนักพัฒนาของ Bitcoin ได้ทำการ Hard Fork เหรียญ Bitcoin ครั้งแรก ออกมาโดยใช้ชื่อว่า Bitcoin Cash 

2020 - Having ครั้งแรกโดยมีการลดรางวัลจาก 12.5 เหรียญ เป็น 6.25 เหรียญ


Tokenomics

อย่างที่ทราบกันดีว่าราคาของบิทคอยน์ที่มีมูลค่าสูงในปัจจุบันนั้นมาจากการออกแบบโครงสร้างกลไกด้วยบริมาณจำนวนที่จำกัดและยังใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการตรวจสอบความโปร่งใสอีกด้วย บิทคอยน์นั้นมีระบบที่เรียกว่า POW หรือ Proof Of Work ที่เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ราคานั้นสูงขึ้นอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ระบบ POW ตัวแปรหลักที่ทำให้ Bitcoin มีมูลค่า

POW หรือ Proof of Work เป็นระบบ Consensus Algorithm ที่นิยมใช้ใน Blockchain รุ่นแรก ๆ อย่าง Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), หรือ Litecoin (LTC) เป็นต้น

PoW เป็นเหมือนการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์บนโหนดแข่งขันกันเพื่อแก้สมการทางคณิตศาสตร์ตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม และสร้างบล็อกใหม่บนบล็อกเชน หากโหนดใดแก้สมการเสร็จจะสร้างบล้อกขึ้นมา และโหนดอื่นๆ ในเครือข่ายจะตรวจสอบความถูกต้องของบล็อกนั้นอีกที ก่อนที่จะนำข้อมูลส่งไปบนบล็อกเชนหลักแบบภาวรซึ่งไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ภายหลัง

กระบวนการนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในชื่อ "การขุด" ซึ่งเป็นเหมือนการทำงานในเหมืองโดยอาศัยแรงงานทางความสามารถจากคอมพิวเตอร์ ทำงานของในโหนดเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการยืนยันธุรกรรมและรางวัลในการขุด ซึ่งปัจจุบันระบบ PoW ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในแง่ของความปลอดภัย

ปริมาณของ Bitcoin

อย่างที่ทราบกันดีกว่าจุดเด่นของ Bitcoin นั้น คือ การมีอยู่จำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ กล่าวได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่สามารถก่อให้เกิดความต้องการได้เป็นอย่างมากในอนาคตเนื่องจากระบบออกแบบของการหา Bitcoin จะจำกัดลงเรื่อยๆ ปัจจุบัน Bitcoin นั้นได้ถูกขุดพบไปแล้วกว่า 18 ล้านเหรียญหรือประมาณเกือบ 90% ของปริมาณทั้งหมด ซึ่งจากการตรวจสอบจะเหลือทั้งหมดอีกเพียง 3 ล้านเหรียญที่ยังไม่ถูกขุดพบออกมา



ทั้งนี้ผู้พัฒนาได้มีการคิดค้นระบบการจ่ายผลตอบแทนโดยกำหนดให้การสร้างบิทคอยน์มีอัตราที่ช้าลง โดยวิธีการ “Halving” เพื่อทำให้ราคาของบิทคอยน์นั้นมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

การลดครึ่ง (Halving) คืออะไร?

Bitcoin ได้ถูกออกแบบอยู่บน Blockchain ที่ใช้ระบบ POW โดยจะมี Reward เป็นการตอบแทนทุกๆการขุด โดยตัวระบบของ Bitcoin นั้นจะมีการควบคุมปริมาณรางวัลที่กำหนดไว้ในแต่ละ Block โดยมีเงื่อนไขคือรางวัลจะถูกลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 210,000 บล็อก ซึ่งความเร็วในการสร้างบล้อกของ Bitcoin จะถูกสร้างขึ้นทุกๆ 10 นาที ดังนั้นเมื่อครบ 1 ชั่วโมงจะมีการสร้างทั้งหมด 6 บล็อก 1 วันจะสร้าง 144 บล็อก 1 เดือนจะสร้าง 4,464 บล็อก 1 ปี จะสร้าง 53,568 บล็อก และเมื่อครบ 4 ปี จะถูกสร้างทั้งหมดราวๆ 214,272 บล็อก ซึ่งเป็นเหตุให้ทุกๆ 4 ปี กลไกของ Bitcoin จะถูกลดรางวัลลงเรื่อยๆ เราเรียกกันว่าปรากฏการณ์ นี้ว่า Bitcoin Halving นับตั้งแต่ที่ Bitcoin เกิดขึ้นมาบนโลก เกิด Bitcoin Halving มาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งสำหรับการ Halving ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นวันที่ 13 มีนาคม ปี 2024

สามารถติดตาม Countdown การ Halving ของ Bitcoin ได้ที่ https://bitcoinblockhalf.com/





นอกจากนี้ Bitcoin ยังถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวนสูงสุดได้ที่ 21,000,000 เหรียญ โดย ณ เวลาที่เขียนนี้ มี Bitcoin ออกมาแล้วประมาณ 18,676,731 เหรียญ อ้างอิงจากเว็บไซต์ Coinmarketcap ขณะที่ Bitcoin ทั้ง 21,000,000 เหรียญ คาดว่าจะถูกขุดออกมาครบภายในปี 2140 หรืออีก 120 ปีข้างหน้า



Partnerships

Summary

Bitcoin ถือว่าเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มีค่ามากๆ โดยปัจจุบันยังไม่ทราบถึงราคาจุดสูงสุดเลยก็ว่าได้ ด้วยปริมาณจำกัดของมันทำให้ยิ่งเวลานานเท่าไหน่มันยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น และด้านการใช้งานมันก็เปรียบเสมือนสินทรัพย์ที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ผ่านตัวกลางใดๆ ทั้งนี้สำหรับมือใหม่อาจจะยังใช้งานไม่คล่องทำให้เกิดความเสี่ยงในการเก็บรักษาที่ไม่ปลอดภัยอีกด้วย ดังนั้นสำหรับผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีเป็นอย่างมาก 

ปัจจุบัน Bitcoin นั้นเริ่มได้รับการยิมรับจากหลายๆภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์อย่าง MicroStrategy ก็ได้มีการซื้อสะสม Bitcoin อย่างต่อเนื่องอีกด้วย รวมถึงประเทศอย่างเอลซัลวาดอร์ ประเทศในแถบอเมริกากลาง ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากที่สุดในภูมิภาคก็ยังได้ออกมาประกาศใช้ Bitcoin เป็นเงินสกุลหลักของประเทศอีกด้วย

ในอนาคตเราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าทิศทางของ Bitcoin นั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป หวังว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์อย่างไม่มากก็น้อย

Source :

https://www.yourarticlelibrary.com/economics/money/5-stages-of-evolution-of-money/30311

https://www.botlc.or.th/item/archive_collection/00000179017

https://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sec/Lom20/01-01.htm

https://coinman.co/

https://en.wikipedia.org/wiki/Gold_standard#Before_the_18th_century

https://bitcoinblockhalf.com/

https://www.reuters.com/article/us-crypto-currencies-jpm-idUSKBN29A1IF



เหรียญอื่นๆที่น่าสนใจ